วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

เทคนิคการสอนคำศัพท์

ประเภทของคำศัพท์
........ บำรุง โตรัตน์ (2535 : 10) , ศรีวัย สุวรรณกิตติ (2522 : 15) และ อัญชลี แจ่มเจริญ (2526 : 7) แบ่งประเภทของคำศัพท์ได้ 2 ชนิด ตามลักษณะของการใช้เป็นดังนี้ คือ
........ 1. คำศัพท์ที่ผู้เรียนในระดับนั้น ๆ ได้พบเห็นบ่อย ๆ ทั้งในการฟัง พูด อ่าน และเขียน (Active Vocabulary) นอกจากครูจะสอนให้รู้จักความหมายแล้ว จะต้องสอนให้นักเรียนสามารถใช้คำ ประโยค ได้ทั้งในการพูดและการเขียน ซึ่งถือว่าเป็นทักษะขั้นการนำไปใช้
........ 2. คำศัพท์ที่ผู้เรียนในระดับชั้นนั้น ๆ ไม่ค่อยพบเห็นหรือนาน ๆ จะปรากฏครั้งหนึ่งในการฟังและการอ่าน การสอนคำศัพท์ที่ผู้เรียนไม่ค่อยพบเห็นบ่อย ครูเพียงสอนแต่ให้รู้ความหมายที่ใช้ในประโยคก็เพียงพอ เน้นให้นักเรียนทั้งฟังและอ่านได้เข้าใจ โดยไม่เน้นให้นักเรียนเอาคำศัพท์นั้นมาใช้ในการพูดและเขียน
         นอกจากนี้ ยังได้มีการแบ่งประเภทของคำศัพท์ตามโอกาสที่จะได้ใช้หรือได้พบใน แต่ละทักษะทางภาษา สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท (นันทิยา แสงสิน. 2527 : 92) ดังนี้
................ 1. คำศัพท์เพื่อการฟัง เป็นคำศัพท์ที่ใช้มากในเด็กเล็ก เพราะไม่เคยเรียนรู้ภาษามาก่อน เป็นคำศัพท์ที่ค่อนข้างง่าย และการเรียนรู้เกิดจากการฟังก่อน
................ 2. คำศัพท์เพื่อการพูด เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในภาษาพูด ซึ่งต้องสัมพันธ์กับการฟัง คำศัพท์ที่ใช้ในการพูดนั้นต้องสามารถใช้สื่อความหมายได้ โดยคำศัพท์เพื่อการพูดจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่ คำศัพท์ที่ใช้ภายในบ้านหรือระหว่างเพื่อนฝูง คำศัพท์ที่ใช้ในการเรียนหรือการทำงาน และคำศัพท์ที่ใช้ในการติดต่อราชการ หรือใช้ในชีวิตประจำวัน

................ 3. คำศัพท์เพื่อการอ่าน เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการอ่านและเป็นปัญหามากสำหรับเด็กที่เรียนภาษา คือ ต้องรู้ความหมายเพื่อที่จะนำไปตีความเนื้อหา และข้อความที่อ่านได้

............... 4. คำศัพท์เพื่อการเขียน เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในการเขียน ซึ่งถือว่าเป็นทักษะที่สูงและยาก เป็นคำศัพท์ที่ผู้เรียนจะต้องได้รับการสอนที่ถูกต้องและเป็นทางการ

........ การแบ่งคำศัพท์ออกเป็นประเภทตามลักษณะการใช้และตามโอกาสดังที่กล่าวมานี้ มีผลสำคัญต่อกี่จัดการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ สำหรับบทบาทของผู้สอนแล้ว ผู้สอนจะต้องช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้คำศัพท์ที่จำเป็นสำหรับการใช้ในโอกาสและสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและเหมะสม โดยในการช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้คำศัพท์นั้น หมายถึง การช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์และเกิดพฤติกรรมดังนี้ คือ ออกเสียงและสะกดคำได้ บอกความหมายของคำศัพท์ได้ และสามารถนำคำศัพท์ที่รู้นั้นไปใช้ในการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนได้อย่างถูกต้อง (อิสรา สาระงาม. 2529 : 78 , 1981 : 76)


เทคนิคในการสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากในการเรียนการสอน ทั้งนี้เพราะหากเทคนิคการสอนไม่เอื้อต่อการเรียนการสอนแล้ว การเรียนการสอนก็ไม่อาจประสบผลสำเร็จได้ เกี่ยวกับเทคนิคการสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ศิธร แสงธนู และ คิด พงศทัต (2521 : 36 – 38) กล่าวไว้สรุปได้คือ

........ 1. คำศัพท์ที่สอนควรเป็นคำสั้น ๆ สะกดตรงตัว และเป็นคำที่มีเสียงคล้องจองกัน เช่น fan – man , rat - cat
........ 2. คำที่นำมาสอนควรเป็นคำที่เห็นได้จากใกล้ ๆ ตัวเด็กและเป็นรูปธรรม เช่น ของใช้
........ 3. หากเป็นการสอนรูปประโยคใหม่ ควรใช้คำศัพท์เก่า และควรใช้รูปประโยคเก่าในการสอนคำศัพท์ใหม่ จะทำให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายและเร็วกว่า
........ 4. ควรใช้อุปกรณ์พื้น ๆ เช่น ชอล์กและสีเมจิ ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด โดยการเน้นสิ่งที่ควรเน้น เมื่อเขียนบนกระดานหรือกระดาษ โดยเฉพาะสีแดง ควรใช้เน้นส่วนที่ต้องการเน้นจริง ๆ เท่านั้น
........ 5. เสียงที่ครูไม่แน่ใจ ไม่ควรนำมาสอน จนกว่าจะได้ตรวจสอบความถูกต้องเสียก่อน

........ 6. การจดคำศัพท์ ควรให้นักเรียนวาดภาพประกอบด้วย สร้างความเพลิดเพลินและช่วยทำให้เด็กจำได้มากกว่าเขียนคำแปลเป็นคำ ๆ

........ 7. การฝึกสะกดคำปากเปล่า คำที่มีหลายพยางค์ควรให้เด็กแยกพยางค์สะกด จะทำให้จำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น อาจเป็นการตบมือหรือเคาะจังหวะ เป็นต้น
........ 8. การทำแบบฝึกเสริม ควรมีภาพประกอบมาก ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก
........ 9. นักเรียนที่มีปัญหาในการออกเสียง ครูอาจทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติม ช่วยในการฝึกออกเสียงโดยเฉพาะ (Sound Drill) ฝึกออกเสียงคำเป็นคู่ ๆ
........ 10. การทำแผนการสอน ครูที่สอนชั้นเดียวกันควรร่วมมือกัน เพื่อจะได้กิจกรรมที่หลากหลาย
........ 11. การใช้ภาษาไทยในชั่วโมงภาษาอังกฤษ ครูน่าจะใช้เมื่อจำเป็น เช่น เมื่ออธิบายวิธีต่าง ๆ แล้วนักเรียนก็ไม่เข้าใจ
........ 12. ควรรู้จักสอดแทรกการแปลและไวยากรณ์ในกิจกรรมอย่างเหมาะสม โดยไม่ให้เด็กรู้สึกเบื่อหน่าย เพราะการแปลและไวยากรณ์เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และสำคัญสำหรับการเรียนภาษาต่างประเทศของเด็กไทย

การจัดกิจกรรมการสอนคำศัพท์ 
ในการจัดกิจกรรมการสอนคำศัพท์ อุทัย ภิรมย์รื่น (2524 : 24) เสงี่ยม โตรัตน์ (2534 : 27) และประนอม สุรัสวดี (2535 : 30) กล่าวไว้สรุปได้ว่า
........ 1. การสอนคำศัพท์ในระดับประถมศึกษา ไม่เน้นการให้นักเรียนรู้คำศัพท์มาก แต่จะเน้นการออกเสียงคำศัพท์ที่ถูกต้องมากกว่า
........ 2. การสอนคำศัพท์ในประโยคไม่เน้นโครงสร้างไวยากรณ์ของประโยค
........ 3. ไม่ควรสร้างคำศัพท์ในกลุ่มต่าง ๆ หลายคำ ในแต่ละครั้งของการสอนเกี่ยวกับ Family member นักเรียนควรจะรู้เกี่ยวกับ father , mother , sister หรือ brother ในบทที่ 1 ส่วนในบทที่ 2 จึงค่อยเรียน grandparents และต่อไปจะเรียน nephew , uncle , aunt และ cousin 
........ 4. การสอนคำศัพท์แก่เด็ก ควรอาศัยสถานการณ์ประกอบ
........ 5. ในแต่ละชั่วโมง ควรสอนคำศัพท์ประมาณ 3 – 5 คำ และใช้คำศัพท์ใหม่ในโครงสร้างประโยคที่เรียนแล้ว
........ 6. การเลือกคำศัพท์มาใช้สอน ควรเป็นคำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตจริงมากกว่า
........ 7. การเลือกคำศัพท์มาใช้สอน ควรเลือกคำที่สัมพันธ์กัน เช่น คำว่า cow น่าจะคู่กับ ox หรือ grass มากกว่าไปคู่กับคำว่า ship
........ 8. คำที่ใช้กับนักเรียนประถมต้น ควรจะเป็นคำที่มองเห็นภาพ สาธิตได้เป็นรูปธรรมมากกว่านามธรรม
........ 9. การทบทวนคำศัพท์ที่เรียนไปแล้ว ควรทบทวนคำศัพท์ที่มีความสัมพันธ์กับคำศัพท์ใหม่
........ 10. ควรติดบัตรคำศัพท์ที่สอนไว้ในห้องสัก 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อให้นักเรียนตลอดเวลาจะได้จำได้ เพราะการที่นักเรียนได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 4 ด้าน คือ ได้เห็น ได้ยิน ได้พูด และได้เขียน จะช่วยย้ำความจำได้แม่นยำขึ้น และควรจัดกิจกรรมให้มีการนำคำศัพท์นั้นมาใช้ในการสื่อสารสนทนาเสมอ ๆ
........ 11. การท่องคำศัพท์ เด็กเล็กไม่อยากปฏิบัติ เพราะน่าเบื่อ ควรให้นักเรียนจับคู่กันท่องคำศัพท์ เพราะจะทำให้ไม่เบื่อเหมือนท่องคำศัพท์คนเดียว
........ 12. การเขียนคำศัพท์ (Dictation) มีประโยชน์มาก จะช่วยย้ำความจำด้านสะกด ครูควรให้นักเรียนเขียนคำศัพท์อย่างสม่ำเสมอทุก ๆ สัปดาห์ หรือประมาณเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย โดยกำหนดให้นักเรียนทบทวนมาล่วงหน้าว่าจะเป็นคำอะไรบ้าง การเขียนแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 20 คำ ควรมีการให้คะแนนสะสมด้วย อาจจะให้คะแนนแก่คนที่ทำ เพราะการเขียนคำศัพท์มีประโยชน์ ทั้งนี้เนื่องจากการได้เขียนจะทำให้จำศัพท์แม่นยำกว่าการท่องปากเปล่า
........ 13. การแข่งขันระหว่างกลุ่มและทดสอบคำศัพท์ ควรแจ้งให้นักเรียนทราบล่วงหน้านานพอสมควร และกำหนดคำศัพท์ที่จะแข่ง เพราะจะทำให้เด็กมีกำลังใจท่อง
........ 14. การฝึกสะกดคำพร้อม ๆ กัน บางครั้งถ้าเป็นคำมากกว่า 1 พยางค์ ครูควรฝึกให้นักเรียนสะกดแยกทีละพยางค์เสียก่อน จะช่วยจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น เช่น black – board , pen – cil เป็นต้น ขณะที่สะกดอาจให้นักเรียนปรบมือประกอบไปด้วยเมื่อออกเสียงแต่ละตัว หรืออาจจะปรบตามจำนวนพยางค์ เช่น eleven ให้ปรบมือ 3 ครั้ง
........ 15. การสอนคำศัพท์ขั้นแรก ครูไม่ควรเน้นการสะกด แต่ควรให้เด็กได้ทราบความหมายของคำโดยเร็วเสียก่อน อาจใช้วิธีดูภาพ ดูของจริง โดยทายจากการบอกใบ้ การแสดงท่าทางของครู เมื่อทราบความหมายแล้ว จึงให้ฝึกสะกดคำ เพราะการสะกดคำยากกว่าการจำความหมาย
........ 16. คำศัพท์ที่ปรากฏในหนังสือเรียน คำศัพท์ประเภทนี้จะปรากฏในบทอ่าน คำศัพท์ใด ๆ ที่ปรากฏซ้ำ ๆ และเป็นคำศัพท์ที่นักเรียนควรจะรู้และใช้เป็น ควรควรออกเสียงให้ถูกต้องทั้งความหมายและวิธีใช้คำนั้น ๆ อย่างถูกต้อง ส่วนคำศัพท์ที่ยากเกินไปสำหรับชั้นเรียน หรือคำศัพท์ที่ไม่ปรากฏในหนังสือเรียน ครูอาจจะสอนเฉพาะการออกเสียง และความหมาย แต่ไม่ต้องฝึกวิธีใช้

........ 17. คำศัพท์ที่มีประโยชน์ คำศัพท์ประเภทนี้นักเรียนควรจะรู้จัก อาจจะเป็นคำศัพท์ที่ไม่ปรากฏในหนังสือเรียน แต่จะต้องใช้ให้ถูกต้องในการพูดสนทนาหรือในการเขียน คำศัพท์ประเภทนี้จะต้องสอนวิธีใช้ให้ถูกต้อง
........ 18. ครูเป็นผู้ออกเสียงคำศัพท์โดด ๆ อย่างถูกต้องชัดเจน ให้นักเรียนฟังก่อน 2 – 3 ครั้ง แล้วจึงให้นักเรียนพูดตาม
........ 19. ครูให้ความหมายของคำศัพท์ด้วยการใช้อุปกรณ์หรือการแสดงท่าทางประกอบ
........ 20. ตรวจสอบว่านักเรียนเข้าใจความหมายของคำศัพท์ด้วยการตั้งคำถามแบบ Yes / No Question ให้นักเรียนตอบทั้งชั้นหรือให้คนใดคนหนึ่งเป็นคนตอบ
........ 21. ครูแสดงการใช้คำศัพท์ในรูปประโยคให้เด็กได้เห็น แล้วให้เด็กจดเอาไว้ในสมุด
........ 22. ครูให้เด็กคิดคำศัพท์หรือหัดแต่งประโยค โดยการใช้คำศัพท์นั้น ๆ ตามแบบที่เด็กเคยเห็นจากที่ครูเขียนให้ดูบนกระดาน

ขั้นตอนของการสอนคำศัพท์

1. ขั้นสอนฟังและสอนความหมาย

2. ขั้นสอนพูดให้ออกเสียงได้ถูกต้อง

3. ขั้นสอนอ่าน ให้เห็นส่วนประกอบของคำ อ่านให้ฟังให้อ่านและสะกดคำพร้อมกัน

4. ขั้นสอนเขียน ให้เห็นภาพหรือได้ฟังคำนั้นและเขียนให้ถูกต้อง

5. ขั้นทดสอบความเข้าใจและฝึกให้นักเรียนใช้คำศัพท์

6. ให้นักเรียนจดคำศัพท์พร้อมความหมาย

จากขั้นตอนการสอนคำศัพท์ที่กล่าวมา สรุปการสอนคำศัพท์ได้ดังนี้

ขั้นที่ 1 ขั้นการสอนฟัง – พูด ความหมายของคำศัพท์และการออกเสียงที่ถูกต้องอาจจะมีกิจกรรมดังนี้ คือ เริ่มจากแนะนำคำศัพท์โดยการใช้สื่อประกอบ จากนั้นออกเสียงและให้นักเรียนออกเสียงเลียนเสียงอย่างถูกต้อง 

ขั้นที่ 2 ขั้นการสอนอ่าน กิจกรรมในขั้นนี้อาจจะเป็นการจับคู่ภาพกับคำศัพท์ โดยใช้บัตรภาพและบัตรคำ สำหรับให้นักเรียนอ่าน

ขั้นที่ 3 ขั้นการสอนเขียนเริ่มจากการสอนตัวอักษรให้ออกเสียงและเขียนลีลาตัวอักษรในอากาศ จากนั้นเขียนตัวอักษรตามเส้นประ แล้วจึงคัดและบรรทุกลงในสมุด

ขั้นที่ 4 ขั้นการฝึกปฏิบัติกิจกรรม ในขั้นนี้เป็นการนำคำศัพท์ที่เรียนแล้วฝึกสนทนา


ตัวอย่างวิธีการสอนคำศัพท์
นายข้าวเหนียวไม่ได้เก่งการสอนนะแต่วิเคราะห์ว่า
การจะเรียนคำศัพท์ของเด็กนี่

ขั้นแรก ต้องให้เด็กมีอะไรในสมองของเขาเกี่ยวกับศัพท์คำนั้นก่อน
เช่น.. นำของจริงมาเลย (แล้วครู/นร.เล่าเรื่อง เกี่ยวกับสิ่งนั้น ยิ่งเรื่องตลก หรือเรื่องเกินจริงเด็กจะจำแม่น)
(ขั้นที่ 1 เด็กมีข้อมูลในสมองครับ)

ขั้นที่ 2 นักเรียนฟังเทปอาจารย์ฝรั่ง (มีภาพหรือของจริงประกอบ) (หรือเราจะออกเสียงเองก็ได้)
นักเรียนฟังหลายๆ รอบ ครูออกเสียงทั้งคำศัพท์ และประโยค หรือการแอคติ้งค์ประกอบคำของครู

ขั้นที่ 3 นักเรียนพูดตามบ่อยๆ ซ้ำๆ
โดยครูต้องมีเทคนิคการกระตุ้นการพูดทั้งชั้น รายกลุ่ม คู่ เดี่ยว อาจนำเกมมาช่วยเช่นเป่ายิงฉุบ
ใครชนะออกเสียงคำและได้คะแนน ฯลฯ

ขั้นที่ 4 นักเรียนฝึกอ่านคำ (มีภาพ/ของจริง บัตรคำ และออกเสียง)

ขั้นที่ 5 นักเรียนฝึกการเขียน
พอถึงขั้นนี้ คุณครูอย่าสั่งให้เด็กคัดคำละ 10 ครั้ง แล้วถือว่าเป็นการฝึกเขียนนะครับ

แนวทางการสอนเขียนเช่น a book
เด็กๆ ต้องรู้จักเสียง b ก่อน
พาเด็กออกเสีย b - เบอะ หลายๆ หน
ต่อไป k - เคอะ หลายๆ หน
oo - ออกเสียง อุ (มันเทียบภาษาไทยไม่ตรงหรอกนะคับ)
เด็กๆ รวมเสียง b - oo - k เบอะ อุ เคอะ บุกคึ (คึนิดๆ)

นี่เป็นกระบวนการสอนเขียน โดยใช้เสียงเป็นสำคัญนะครับ
ท่านอื่นอาจมีหลากหลายแนวทาง ซึ่งก็ถูกต้องด้วยกันทั้งสิ้น

ขั้นที่ 6 ขั้นนี้สำคัญ ครูจะเอาไปแทรกไว้ในขั้นที่ 3 หรือ แทรกทุกขั้นก็ได้ครับ

ศัพท์ คือ เสียงและอักษร แทนสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นต้องอยู่ในประโยค
หรือต้องนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์นั่นเอง

ดังนั้นต้องฝึกให้เด็กพูด เช่น
- I have a book.
- She has a book.
- He has three books.
ครูอาจถามว่า
- Do you have a book? (Do you have any books?)
- How many books do you have?
- What color is your book?
- Which book do you like best?

ขั้นที่ 7 สร้างสรร เสริมสร้าง สังเคราะห์ผลงาน
(เป็นการกระตุ้นให้เด็กคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น รุ้จักวางแผนการทำงาน ฝึกความคิดสร้างสรร)
ครูกระตุ้นให้นักเรียนสร้างสรรผลงานเช่น
- แสดงบทบาทสมมติ / ละครแฟนตาซี ฯลฯ
- ให้นักเรียนแต่งนิทานภาพเกี่ยวกับ a book พร้อมเขียนคำบรรยายเล็กน้อย
- ฯลฯ

ขั้นที่ 8 นำเสนอผลงาน ครูและเพื่อนร่วมชื่นชม
(เป็นการสร้างให้เด็กเรียนรู้เรื่องการยอมรับคุณค่าของตัวเอง ว่าเราทำได้
เราเก่ง สร้างให้เด็กมั่นใจ กล้าแสดงออก)
- ให้เด็กได้มีโอกาสนำเสนอผลงาน
- พร้อมทั้งจัดป้ายนิเทศก์ ในชั้นเรียน หรือที่อื่นๆ
- ครูและเพื่อนๆ ร่วมชื่นชม

ครูประเมินผลงานนักเรียนให้คะแนนไปได้เลยครับ ไม่ต้องมานั่งออกข้อสอบประจำบท
ให้เสียเวลา...

ทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ครบถ้วนตรงตามหลักสูตร
เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุข และจะรักภาษาอังกฤษและกล้าพูด
เพราะเด็กได้รับโอกาสในการพูด
เด็กถูกครูใช้เทคนิคหลอกล่อให้เรียนรู้โดยไม่รู้ตัวว่านั้นคือการเรียน
ครูก็สนุกนักเรียนก็มีความสุข

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

สรุปหลักการใช้ 12 TENSE ฉบับย่อ


สรุปหลักการใช้ Tense ฉบับย่อ เพื่อเปรียบเทียบให้นักเรียนได้เข้าใจและมองเห็นภาพ

Tense ใหญ่ มี 3 Tense

1. Present Tense เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
2. Past Tense เป็นเรื่องราวในอดีต
3. Future Tense เป็นเรื่องราวในอนาคต
Tense ใหญ่ แยกออกเป็น 4 Tense ย่อย รวมเป็น 12 Tense ดังนี้
1. Present Tense เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
 1.1 Presenst Simple บอกข้อเท็จจริงทั่วไป
  • I eat rice everyday. ฉันกินข้าวทุกวัน
1.2 Present Continuous บอกเหตุการณ์ที่กำลังกระทำขณะนี้
  • I am eating rice. ฉันกำลังกินข้าว
1.3 Present Perfect บอกเหุตการณ์ที่ได้ทำเสร็จแล้วขณะพูด หรือ เหตุการณ์ที่กระทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้
  • have eaten rice. ผมกินข้าวแล้ว (กินอิ่มมาแล้ว)
  • have eaten rice for 20 minutes. ผมกินข้าวแล้วเป็นเวลา 20 นาที (ตอนนี้ก็กินอยู่)
1.4 Present Perfect Continuous บอกเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน คล้ายกับ Present Perfect แต่ตัวนี้เป็นการเน้นว่าทำแบบไม่หยุดเลย
  • have been eating rice for 1 hour. ผมกินข้าว (แบบไม่พูดคุยหรือลุกไปไหนเลย)เป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว
2. Past Tense เป็นเรื่องราวในอดีต
2.1 Past Simple บอกว่าได้ทำอะไร เมื่อไหร่ในอดีต
  • ate rice yesterday. ฉันกินข้าวเมื่อวาน
2.2 Past Continuous บอกเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในอดีต
  • I was eating rice when my dad came. ฉันกำลังกินข้าวอยู่ เมื่อพ่อมาถึง
2.3 Past Perfect บอกเหุตการณ์ที่ได้ทำเสร็จแล้วในอดีต
  • I had eaten rice when my dad came. ผมกินข้าวเสร็จแล้ว เมื่อพ่อมาถึง
2.4 Past Perfect Continuous บอกเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาจนถึง ณ เวลาหนึ่งในอดีต
  • had been eating rice for 1 hour when my dad came. ผมกินข้าวเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว เมื่อพ่อมาถึง
3. Future Tense เป็นเรื่องราวในอนาคต
3.1 Future Simple บอกว่าจะทำอะไร ในอนาคต
  • will eat rice tomorrow. ฉันจะกินข้าวพรุ่งนี้
3.2 Future Continuous บอกเหตุการณ์ที่จะกระทำอยู่ ณ ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต
  • At nine o’clock tomorrow, I will be eating rice. เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ฉันจะกำลังกินข้าวอยู่นะ (ห้ามโทรมา ห้ามมาเรียก)
3.3 Future Perfect บอกเหุตการณ์ที่จะทำเสร็จแล้วในอนาคต
  • At nine o’clock tomorrow, I will have  eaten rice. เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ผมกินข้าวเสร็จแล้วนะ (โทรมาได้ เพราะว่างแล้ว)
3.4 Future Perfect Continuous บอกเหตุการณ์ที่ทำต่อเนื่องมาจนถึง ณ เวลาหนึ่งในอนาคต
  • At nine o’clock tommorrow, I will have been eating rice for 1 hour. เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ผมจะกินข้าวแล้วเป็นเวลา 1 ชั่วโมงแล้ว (บอกให้รู้เฉยๆว่าฉันจะกินข้าวนานแค่ไหน)
ถึงแม้จะมี 12 Tense ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ใช้ ทุกตัวหรอก ที่ใช้บ่อยได้แก่
  • Present Continuous
  • Present Simple
  • Present Perfect
  • Past simple
  • Future Simple
นอกนั้นไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่หรอก แต่เราต้องเรียนรู้ทั้งหมดเพื่อประดับเป็นความรู้

Reading Skill



Reading Skill (ทักษะการอ่าน)



        การอ่านภาษาอังกฤษ มี 2 ลักษณะ คือ การอ่านออกเสียง (Reading aloud) และ การอ่านในใจ(Silent Reading ) การอ่านออกเสียงเป็นการอ่านเพื่อฝึกความถูกต้อง (Accuracy) และความคล่องแคล่ว ( Fluency) ในการออกเสียง 
        ส่วนการอ่านในใจเป็นการอ่านเพื่อรับรู้และทำความเข้าใจในสิ่งทีอ่านซึ่งเป็นการอ่านอย่างมีจุดมุ่งหมาย เช่นเดียวกับการฟังต่างกันที่ การฟังใช้การรับรู้จากเสียงที่ได้ยิน ในขณะที่การอ่านจะใช้การรับรู้จากตัวอักษรที่ผ่านสายตา ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความชำนาญและมีความสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยเทคนิควิธีการโดยเฉพาะ ครูผู้สอนจึงควรมีความรู้และเลือกใช้เทคนิคในการสอนทักษะการอ่านให้แก่ผู้เรียนอย่างไรเพื่อให้การอ่านแต่ละลักษณะประสบผลสำเร็จ
1. เทคนิควิธีปฏิบัติ 
        1.1 การอ่านออกเสียง การฝึกให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้อง และคล่องแคล่ว ควรฝึกฝนไปตามลำดับโดยใช้เทคนิควิธีการดังนี้
           (1) Basic Steps of Teaching (BST) มีเทคนิคขั้นตอนการฝึกต่อเนื่องกันไปดังนี้
                - ครูอ่านข้อความทั้งหมด 1 ครั้ง/นักเรียนฟัง
               - ครูอ่านทีละประโยค/นักเรียนทั้งหมดอ่านตาม
               - ครูอ่านทีละประโยค/นักเรียนอ่านตามทีละคน(อาจข้ามขั้นตอนนี้ได้ถ้านักเรียนส่วนใหญ่อ่านได้ดีแล้ว)
               - นักเรียนอ่านคนละประโยคให้ต่อเนื่องกันไปจนจบข้อความทั้งหมด
               - นักเรียนฝึกอ่านเอง
               - สุ่มนักเรียนอ่าน
          (2) Reading for Fluency ( Chain Reading)คือเทคนิคการฝึกให้นักเรียนอ่านประโยคคนละประโยคอย่างต่อเนื่องกันไปเสมือนคนอ่านคนเดียวกันโดยครูสุ่มเรียกผู้เรียนจากหมายเลขลูกโซ่เช่นครูเรียกChain-number One นักเรียนที่มีหมายเลขลงท้ายด้วย1,11,21,31,41, 51จะเป็นผู้อ่านข้อความคนละประโยคต่อเนื่องกันไปหากสะดุดหรือติดขัดที่ผู้เรียนคนใดถือว่าโซ่ขาดต้องเริ่มต้นที่คนแรกใหม่หรือเปลี่ยนChain-numberใหม่ 
           (3) Reading and Look upคือเทคนิคการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนอ่านข้อความโดยใช้วิธีอ่านแล้วจำประโยคแล้วเงยหน้าขึ้นพูดประโยคนั้นๆอย่างรวดเร็วคล้ายวิธีอ่านแบบนักข่าว
           (4)Speed Readingคือเทคนิคการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนอ่านข้อความโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ การอ่านแบบนี้อาจไม่คำนึงถึงความถูกต้องทุกตัวอักษรแต่ต้องอ่านโดยไม่ข้ามคำเป็นการฝึกธรรมชาติในการอ่านเพื่อความคล่องแคล่ว(Fluency)และเป็นการหลีกเลี่ยงการอ่านแบบสะกดทีละคำ
           (5) Reading for Accuracyคือการฝึกอ่านที่มุ่งเน้นความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียงทั้งstress / intonation/cluster/final soundsให้ตรงตามหลักเกณฑ์ของการออกเสียง(Pronunciation)โดยอาจนำเทคนิคSpeed Readingมาใช้ในการฝึกและเพิ่มความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียงสิ่งที่ต้องการจะเป็นผลให้ผู้เรียนมีความสามารถในการอ่านได้อย่างถูกต้อง(Accuracy)และคล่องแคล่ว(Fluency)ควบคู่กันไป
        1.2การอ่านในใจขั้นตอนการสอนทักษะการอ่านมีลักษณะเช่นเดียวกับขั้นตอนการสอนทักษะการฟังโดยแบ่งเป็น3กิจกรรมคือกิจกรรมนำเข้าสู่การอ่าน(Pre-Reading)กิจกรรมระหว่างการอ่านหรือขณะที่สอนอ่าน(While-Reading)กิจกรรมหลังการอ่าน(Post-Reading)แต่ละกิจกรรมอาจใช้เทคนิคดังนี้
           (1) กิจกรรมนำเข้าสู่การอ่าน(Pre-Reading)การที่ผู้เรียนจะอ่านสารได้อย่างเข้าใจควรต้องมีข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับสารที่จะได้อ่านโดยครูผู้สอนอาจใช้กิจกรรมนำให้ผู้เรียนได้มีข้อมูลบางส่วนเพื่อช่วยสร้างความเข้าใจในบริบทก่อนเริ่มต้นอ่านสารที่กำหนดให้โดยทั่วไปมี2ขั้นตอนคือ
                 -  ขั้นPersonalizationเป็นขั้นสนทนาโต้ตอบระหว่างครูกับผู้เรียนหรือระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียนเพื่อทบทวนความรู้เดิมและเตรียมรับความรู้ใหม่จากการอ่าน
                -  ขั้นPredictingเป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่านโดยอาจใช้รูปภาพแผนภูมิหัวเรื่อง ฯลฯที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะได้อ่านแล้วนำสนทนาหรืออภิปรายหรือหาคำตอบเกี่ยวกับภาพนั้นๆหรืออาจฝึกกิจกรรมที่เกี่ยวกับคำศัพท์เช่นขีดเส้นใต้หรือวงกลมล้อมรอบคำศัพท์ในสารที่อ่านหรืออ่านคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่จะได้อ่านเพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบแนวทางว่าจะได้อ่านสารเกี่ยวกับเรื่องใดเป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าเกี่ยวกับข้อมูลประกอบการอ่านและค้นหาคำตอบที่จะได้จากการอ่านสารนั้นๆหรือทบทวนคำศัพท์จากความรู้เดิมที่มีอยู่ ซึ่งจะปรากฏในสารที่จะได้อ่านโดยอาจใช้วิธีบอกความหมายหรือทำแบบฝึกหัดเติมคำ ฯลฯ
             (2) กิจกรรมระหว่างการอ่านหรือกิจกรรมขณะที่สอนอ่าน(While-Reading)เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติในขณะที่อ่านสารนั้นกิจกรรมนี้มิใช่การทดสอบการอ่านแต่เป็นการ“ฝึกทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ”กิจกรรมระหว่างการอ่านนี้ควรหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติทักษะอื่นๆ เช่นการฟังหรือการเขียนอาจจัดกิจกรรมให้พูดโต้ตอบได้บ้างเล็กน้อยเนื่องจากจะเป็นการเบี่ยงเบนทักษะที่ต้องการฝึกไปสู่ทักษะอื่นโดยมิได้เจตนากิจกรรมที่จัดให้ในขณะฝึกอ่านควรเป็นประเภทต่อไปนี้
                   - Matchingคืออ่านแล้วจับคู่คำศัพท์กับคำจำกัดความหรือจับคู่ประโยคเนื้อเรื่องกับภาพแผนภูมิ
                   - Orderingคืออ่านแล้วเรียงภาพแผนภูมิตามเนื้อเรื่องที่อ่านหรือเรียง
ประโยค (Sentences) ตามลำดับเรื่องหรือเรียงเนื้อหาแต่ละตอน(Paragraph)
                  -Completingคืออ่านแล้วเติมคำสำนวนประโยคข้อความลงในภาพแผนภูมิตารางฯลฯตามเรื่องที่อ่าน
                  -Correctingคืออ่านแล้วแก้ไขคำสำนวนประโยคข้อความให้ถูกต้องตามเนื้อเรื่องที่ได้อ่าน
                  -Decidingคืออ่านแล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้อง(Multiple Choice)หรือเลือกประโยคถูกผิด(True/False) หรือเลือกว่ามีประโยคนั้นๆในเนื้อเรื่องหรือไม่หรือเลือกว่าประโยคนั้นเป็นข้อเท็จจริง(Fact)หรือเป็นความคิดเห็น(Opinion)
                  -Supplying/Identifyingคืออ่านแล้วหาประโยคหัวข้อเรื่อง(Topic Sentence)หรือสรุปใจความสำคัญ( Conclusion)หรือจับใจความสำคัญ( Main Idea)หรือตั้งชื่อเรื่อง(Title)หรือย่อเรื่อง(Summary)หรือหาข้อมูลรายละเอียดจากเรื่อง(Specific Information)
               (3)กิจกรรมหลังการอ่าน(Post-Reading)เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ภาษาในลักษณะทักษะสัมพันธ์เพิ่มขึ้นจากการอ่านทั้งการฟังการพูดและการเขียนภายหลังที่ได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรมระหว่างการอ่านแล้วโดยอาจฝึกการแข่งขันเกี่ยวกับคำศัพท์สำนวนไวยากรณ์จากเรื่องที่ได้อ่านเป็นการตรวจสอบทบทวนความรู้ความถูกต้องของคำศัพท์สำนวนโครงสร้างไวยากรณ์หรือฝึกทักษะการฟังการพูดโดยให้ผู้เรียนร่วมกันตั้งคำถามเกี่ยวกับเนื้อเรื่องแล้วช่วยกันหาคำตอบสำหรับผู้เรียนระดับสูงอาจให้พูดอภิปรายเกี่ยวกับอารมณ์หรือเจตคติของผู้เขียนเรื่องนั้นหรือฝึกทักษะการเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ได้อ่านเป็นต้น


เทคนิคการสอนอ่านภาษาอังกฤษ reading skill



การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ 
การระดมความคิดแบบเอบีซี (ABC Brainstorm)
        เป็นการทำกิจกรรมก่อนนำไปสู่เรื่องที่ต้องการให้ผู้เรียนอ่าน โดยการทบทวน หรือ ดึงความรู้ที่ผู้เรียนมีอยู่แล้ว มากระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจเรื่องที่กำลังจะอ่านและเพื่อให้ผู้เรียนอ่านเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น ก่อนที่ผู้สอนจะให้ผู้เรียนพูด เขียน หรือ อ่าน เรื่องๆ หนึ่ง ผู้สอนจำเป็นที่จะต้องหาวิธีรื้อฟื้นความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วของผู้เรียนผู้สอนอาจใช้เทคนิค การระดมความคิดแบบเอบีซีโดยผู้สอนให้ผู้เรียนคิดถึงคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะเรียน ให้ตรงกับตัวอักษรแต่ละตัวในแผ่นภาพ ABC Brainstorm 
        หัวข้อที่เหมาะสมสำหรับเทคนิคการระดมความคิดแบบเอบีซี ควรเป็นเรื่องที่กว้างและเกี่ยวข้องกับผู้เรียน เช่น รัฐบาล ศาสนา สงคราม ภูมิประเทศบริเวณ หรือเป็นหัวข้อเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้เรียนเพิ่งได้ศึกษาจะเป็นการทบทวนที่ดี อาจจะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับ ช่วงทศวรรษต่างๆ ยุคสมัยต่างๆ ของมนุษย์ก็ได้ หรือแม้กระทั่งหัวข้อที่แคบเช่น รัฐธรรมนูญ พระมหากษัติรย์ไทย อาจเป็นเรื่องที่น่าจะลองทำดูได้

บรรยายด้วยภาพ (Graphic Organizers) หรืือข้อความที่เรากำหนด โดยผู้สอนสามารถเรียกการบรรยายด้วยภาพได้หลายๆ แบบ เช่น webs, maps, concept maps การบรรยายด้วยภาพเป็นพื้นฐานในการที่จะนำเสนอข้อมูลด้วยภาพ โดยผู้สอนสามารถสร้างแผนผังที่จะจัดเรียงข้อมูลดังนี้ ข้อมูลเกี่ยวข้องกับใจความสำคัญ (main ideas) หัวข้อย่อย (subtopics) และรายละเอียด (details) ข้อมูลที่ต่อเนื่องกัน (in sequence) ข้อมูลที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ข้อเปรียบเทียบและเปรียบต่างระหว่างสิ่งของหรือแนวความคิดตั้งแต่ ชนิดขึ้นไป ข้อมูลที่เป็นองค์ประกอบในเรื่อง ข้อมูลที่ผู้สอนคิดขึ้นมาเองตามต้องการ รูปแบบในการทำการบรรยายด้วยภาพมีจำนวนมาก อาจดูได้จากหนังสือ คู่มือ และ คำแนะนำต่างๆ สำหรับบทนี้จะนำเสนอการใช้ การบรรยาย ด้วยภาพอย่างง่าย เพื่อช่วยให้เพิ่มศักยภาพด้านความคิด 
เทคนิคการทำกิจกรรม 
        มีผู้เรียนจำนวนหนึ่งที่มีความสามารถในการจินตนาการภาพ วาดภาพ หรือมองหลายสิ่งออกมาอย่างเป็นรูปธรรม เปรียบเหมือนภาพ 
ภาพ มีค่าเท่ากับคำนับพันคำที่จะนำมาใช้ในการบรรยายเรื่องๆ หนึ่ง ดังนั้น ผู้สอนจึงควรวางแนวความคิดว่าจะจัดเรียงความคิด (ideas) ความจริง (facts) และแนวความคิด (concepts) อย่างไรให้เป็นรูปธรรม การบรรยายด้วยภาพเป็นเทคนิคหนึ่งในการที่จะช่วยให้ผู้เรียนจัดเรียงข้อมูล ออกมาเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยในการจดจำ นำมาใช้ได้ง่าย เนื่องจากข้อมูลมีการจัดเรียงเป็นขั้นตอนและเป็นหมวดหมู่ 
        ตัวอย่างของการบรรยายด้วยภาพ คือ โซ่แสดงความสัมพันธ์ต่อเนื่องของเหตุการณ์ และแผนภาพแสดงการต่อเนื่องของเวลา 

           1. โซ่แสดงความสัมพันธ์ต่อเนื่องของเหตุการณ์ 
(Chain of Events) แผนภาพแบบนี้ใช้แสดงความสัมพันธ์ต่อเนื่องของเหตุการณ์ หรือขั้นตอนของกระบวนการต่างๆ 
        กุญแจสำคัญ คือ ต้องทราบว่าเหตุการณ์ใดเป็นเหตุการณ์แรก เหตุการณ์ใดเป็นเหตุการณ์ที่สอง หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลำดับต่อมา เหตุการณ์หนึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งได้อย่างไร และ ผลลัพธ์ท้ายสุดคืออะไร 

เทคนิคการอ่านแบบการเน้นใจความสำคัญนี้มีวิธีตรงตามชื่อ คือ เลือกขีดเส้นใต้ข้อความที่ผู้อ่านเห็นว่าจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องที่อ่าน 

เน้นใจความสำคัญ (Selective Underlining) 
        การใช้สีป้ายข้อความให้เด่นขึ้นมา (highlighting) ก็ถือว่าเป็นเทคนิคการอ่านแบบ การเน้นใจความสำคัญเหมือนกัน เทคนิคการอ่านแบบการเน้นใจความสำคัญนี้มีประโยชน์มากโดยเฉพาะเมื่อเรียนระดับอุดมศึกษา ผู้พัฒนาเทคนิคนี้กล่าวว่า ไม่เพียงแต่ผู้เรียน จะอ่านบริเวณที่ได้เลือกขีดเส้นใต้ข้อความเท่านั้น แต่ผลจากการขีดเส้นใต้ข้อความมีส่วนทำให้ผู้เรียนอยากอ่านขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อได้ทำการ ใช้สีป้ายข้อความ ซึ่งเป็นผลทางจิตใจ ทำให้ผู้เรียนมั่นใจว่าได้อ่านส่วนนี้ไปแล้วและได้สรุปเน้นใจความหรือข้อความสำคัญไว้แล้วด้วย ดังนั้น ต้องสอนวิธีนี้แก่ผู้เรียนอย่างชัดเจน ให้ผู้เรียนมีเวลาในการฝึก และกระตุ้นให้ผู้เรียนทำกิจกรรมนี้ให้สำเร็จ
เทคนิคการทำกิจกรรม 
        ทำได้หลายวิธี ผู้สอนอาจเริ่มจากชักชวนให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของ “เทคนิคการอ่านแบบการเน้นใจความสำคัญ” ว่าวิธีนี้ดีและมีประโยชน์ แก่ผู้เรียน ผู้เรียนต้องอ่านหนังสือหรือตำราจำนวนมาก เมื่ออ่านไปแล้ว ผู้เรียนมักจะลืม จำไม่ได้ว่าได้อ่านเรื่องอะไร และมีใจความสำคัญหรือ รายละเอียดอะไรบ้าง ผู้เรียนอ่านหนังสือหรือตำรา 
เล่มใช้เวลาเป็นปีๆ แต่เวลาผ่านไปก็ลืม ต่อไปนี้เป็นเทคนิคการอ่านแบบการเน้นใจความสำคัญ เริ่มต้น ต้องให้ผู้เรียนตระหนักว่าสิ่งที่ผู้เรียนจะต้องอ่านไม่ได้อยู่ในหนังสือหรือตำราเท่านั้นและอาจเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ให้พิจารณาเนื้อหาและแหล่งข้อมูลที่เหมาะสม เช่น หนังสือพิมพ์ ซึ่งจะเป็นแหล่งข้อมูลที่จะช่วยในการเรียนและฝึก “เทคนิคการอ่าน แบบการเน้นใจความสำคัญ” ในขณะเดียวกันผู้เรียนจะได้ความรู้แขนงวิชาด้วย การสอน “เทคนิคการอ่านแบบการเน้นใจความสำคัญ” ผู้สอนจะต้องถ่ายเอกสารประมาณ 1-2 หน้ามาให้ผู้เรียนฝึก แจกเอกสารนี้ แก่ผู้เรียน ถ่ายเอกสารลงบนแผ่นใสสำหรับผู้สอนเอง เพื่อใช้เป็นต้นแบบและตัวอย่างให้ผู้เรียนฝึก หากมีอุปกรณ์เพียงพออาจให้ ผู้เรียนฝึกทำจากแผ่นใสเลย หรือทำลงในกระดาษที่แจกแล้ว นำมาเสนอในชั้นเรียน ลองใช้เทคนิคนี้ร่วมกับเทคนิคพลังแห่งการคิด (power thinking) ผู้เรียนอาจใช้กรอบสี่เหลี่ยมสำหรับพลังแห่งการคิด ใช้วงกลมสำหรับพลังแห่งการคิด และขีดเส้นใต้สำหรับพลังแห่งการคิด 3 

การเน้นข้อความสำคัญ (“Annolighting” a Text) 
        Annolighting” มาจากคำว่า Annotation และ Highlight 
        Annotation หมายถึง คำอธิบายหรือหมายเหตุประกอบ และ 
Highlight หมายถึง ระบายสีเน้นข้อความ 
ผู้สอนส่วนมากจะเคยแนะนำให้ผู้เรียนขีดเส้นใต้หรือระบายสีข้อความที่สำคัญในขณะที่ผู้เรียนอ่านหนังสือ และจะพบว่าผู้เรียนจะขีดเส้นใต้หรือระบายสีคำแทบทุกคำที่ปรากฏอยู่ในหน้านั้น ผลงานวิจัยทางการเรียนรู้ภาษาชี้ให้เห็นว่าการขีดเส้นใต้หรือระบายสีข้อความที่สำคัญในขณะที่ผู้เรียนอ่านหนังสือเป็นเทคนิคในการอ่านวิธีหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีการสอนให้คำแนะนำอย่างถูกวิธีแก่ผู้เรียนและมีการฝึกอย่างถูกต้องด้วย หากผู้เรียนทำได้ถูกต้องจะช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพมาก แต่หากผู้เรียนทำได้ไม่ถูกต้องจะช่วยให้การอ่านไม่ประสบผลสำเร็จไปเลย จะทำให้เป็นการเสียเวลาและน้ำหมึกของผู้เรียน วิธี “การเน้นข้อความสำคัญ” เป็นการรวมเอาวิธีการระบายสีข้อความและการเขียนคำอธิบายหรือหมายเหตุประกอบคำหรือข้อความที่สำคัญนั้น โดยเขียนที่บริเวณขอบซ้ายขวาหรือบนล่างของหน้าในหนังสือที่ผู้เรียนอ่าน การนำวิธีการเน้นข้อความสำคัญไปใช้ 
ตั้งคำถามในขณะที่อ่านเพื่อช่วยให้อ่านเข้าใจมากขึ้นและง่ายขึ้น วิเคราะห์และแปลความหมายของส่วนประกอบของร้อยแก้วหรือร้อยกรอง หาข้อสรุปและสมมุติฐานจากข้อมูลที่เขียนไว้ชัดเจน (explicit) หรือโดยนัย(implicit) explicit เช่น ความจริง (fact) สิ่งที่พิสูจน์ได้ (proof) implicit สิ่งที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวตรงๆ ผู้อ่านต้องตีความ ทำความเข้าใจเอง วัตถุประสงค์ของวิธีการเน้นข้อความสำคัญ 

การระดมความคิดแบบหมุนเวียน (Carousel Brainstorm) 
        การระดมความคิดแบบหมุนเวียนเป็นวิธีการฝึกให้ผู้เรียนคิดและดึงเอาความรู้เดิม (background knowledge) หรือความรู้พื้นฐานของ หัวข้อย่อยๆ ที่อยู่ภายใต้หัวข้อใหญ่ออกมาก่อนจะเรียนเรื่องใหม่ต่อไป หรือ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจหลังการเรียนของผู้เรียน 
เทคนิคการทำกิจกรรม 
        เริ่มต้นโดยแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 
3-4 คน แต่ละกลุ่มมีกระดาษที่เป็นบรรทัดหรือตารางให้เติม เรียกว่า ใบงานการระดมความคิด แบบหมุนเวียน (Carousel Brainstorm sheet) แต่ละกลุ่มจะมีใบงานการระดมความคิดแบบหมุนเวียน ที่มีหัวข้อย่อยที่แตกต่างกัน ให้ผู้เรียนหนึ่งคนทำหน้าที่เป็นผู้บันทึกและมีปากกาสีพิเศษ แต่ละกลุ่มมีปากกาคนละสี บอกผู้เรียนว่าผู้เรียนมีเวลาสั้นๆ (ประมาณ 30 วินาทีในการที่จะคิดและเขียนสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อย่อยลงไปในใบงานการระดมความคิดแบบหมุนเวียน ให้คิดและเขียนให้มากที่สุด เท่าที่จะเขียนได้ และอธิบายต่อว่าเมื่อครบ 30 วินาทีแล้วจะต้องส่งใบงานการระดมความคิดแบบหมุนเวียนของกลุ่มตัวเองไปให้กลุ่มข้างๆ โดยกำหนดทิศทางการส่งให้เป็นไปในทางเดียวกัน ดังนั้น ทุกกลุ่มจะได้หัวข้อใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ให้ทำเหมือนครั้งแรก คือ คิดและเขียนสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อย่อยลงไปในใบงานการระดมความคิดแบบหมุนเวียน ให้คิดและเขียนให้มากที่สุดเท่าที่จะเขียนได้ เมื่อครบ 30 วินาที หรือเมื่อครบเวลาที่จะต้องส่งให้กลุ่มต่อไป เมื่อมีการส่งผ่านไปสัก 4-5 ครั้งให้เพิ่มเวลามากขึ้นเพราะ ความคิดง่าย ๆ จะถูกเขียนลงไป โดยกลุ่มก่อนหน้าแล้ว จึงต้องให้เวลาผู้เรียนในการคิดมากขึ้น พยายามให้ผู้เรียนได้คิดและเขียนสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องลงไปในใบงาน การระดมความคิดแบบหมุนเวียน และก็ส่งไปเรื่อย ๆ จนใบงานการระดมความคิดแบบหมุนเวียนของกลุ่มตนที่เขียนในครั้งแรกวนมาอยู่ที่เดิม จึงจบรอบ ให้ผู้เรียนระดมความคิด อภิปรายในกลุ่มว่าข้อมูลในใบงานการระดมความคิดแบบหมุนเวียนของตน ถูกต้องหรือไม่ เห็นด้วยหรือไม่ แล้วให้แต่ละกลุ่มมารายงานหน้าชั้นเป็นภาษาอังกฤษ 

เทคนิคการสอนอ่านแบบ SQ4R
        เทคนิคการสอนอ่านแบบ 
SQ4R เป็นการสอนเพื่อการสื่อสารประกอบด้วยทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน เพราะในชีวิตประจำวันการอ่านสิ่งใดก็จะอ่านอย่างมีจุดประสงค์ 
และการสอนแบบ 
SQ4R มี ขั้นตอน คือ
           1. (S) Survey เป็นการอ่านอย่างคร่าว ๆ เพื่อหาจุดสำคัญของเรื่อง

           2. (Q) Question เป็นการตั้งคำถามจากเรื่องที่อ่าน

           3. (R) Read เป็นการอ่านเพื่อจับใจความและจับประเด็นสำคัญ ๆ

          4 (R) Record เป็นการจดบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่อ่าน โดยใช้ข้อความอย่างย่อ ๆ ตามความเข้าใจของผู้เรียน

          5. (R) Recite เป็นการเขียนสรุปใจความสำคัญ โดยใช้ภาษาของตนเอง

          6. (R) Reflec เป็นการวิเคราะห์ วิจารณ์ บทอ่านที่ผู้เรียนได้อ่านแล้วแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ผู้เรียนมีความคิดเห็นสอดคล้อง

เทคนิคการสอนอ่านภาษาอังกฤษแบบMIA
        เมอร์ดอกช์ (Murdoch. 1986 : 9) อาจารย์สอนภาษาอังกฤษนักศึกษาครูแห่งมหาวิทยาลัยคูเวต (Kuwait University) เป็นอีกผู้หนึ่งที่คิดวิธีสอนอ่านภาษาอังกฤษ โดยยึดหลักจิตภาษาศาสตร์ (Psycholinguistics) มาใช้ในการสอนเพื่อการสื่อสาร (Communicative Approach) โดยใช้ชื่อว่า “A More Integrated Approach to the Teaching of Reading” เป็นการเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่ใช้ทักษะต่างๆ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน ควบคู่กันไปเพราะ การสอนที่แยกแต่ละทักษะออกจากกันโดยเด็ดขาด ถือว่าไม่เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียน เป็นผู้รอบรู้ทางภาษา และนอกจากนี้ เขายังกล่าวต่อไปว่า การสอนอ่านแล้วให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัดแบบเลือกตอบ (Multiple choices) หรือ แบบ ถูก-ผิด (True-false) นั้นไม่ใช่เป็นการฝึกการอ่านที่ดีผู้เรียนจะไม่พัฒนาทักษะอย่างอื่นเลย และบางครั้งอาจจะทำให้ผู้เรียนเกิดการสับสนมากขึ้น แบบฝึกหัดที่ดีที่สุดควรจะเป็นแบบฝึกหัดที่ต้องคิด และเขียนออกมาเปน็ คำพูดของตน เป็นการฝึกทั้งกระบวนการคิด (Thinking process) และเป็นการฝึกทักษะการเขียนไปในตัวด้วย การใช้แบบฝึกหัดแบบนี้ถือว่าเป็นการสอนเพื่อการสื่อสารที่ดีมากอีกอย่างหนึ่งด้วย ดังนั้นจึงเป็นที่มาของวิธีสอนอ่าน แบบ MIA